การเกิดของ Crypto Superapps (แอปคริปโตที่รวมทุกอย่างไว้ในที่เดียว)

ทำไมแอปทุกวันนี้ ที่เราเข้าบ่อยที่สุดอย่าง Grab / Facebook / แอปธนาคาร / WeChat หรือ Line จะต้องทำธุรกรรมได้หลายๆอย่าง มากกว่าแค่ 1 ฟังชั่น?

#ตอนนี้เรากำลังเข้าสู่ยุคที่ทุกอย่างมารวมกันในแอปเดียว เหมือนกฎเหล็กของโลกดิจิทัลเลย คือ เมื่อผลิตภัณฑ์กระจายตัวได้ง่ายและราคาถูกลง ค่าของมันก็จะไปตกอยู่กับคนที่ควบคุมผู้ใช้งานได้มากที่สุด ในโลกคริปโต (สกุลเงินดิจิทัล) ไอเดียนี้เคยมีชื่อว่า “Fat Wallet thesis” (ทฤษฎีกระเป๋าเงินอ้วนๆ ที่รวมทุกอย่าง) แต่ตอนนี้ต่างออกไป เพราะโครงสร้างพื้นฐาน (ระบบเบื้องหลัง) มันพัฒนาไปไกลพอที่จะสร้าง Crypto Superapps จริงๆ ได้ โดยไม่จำกัดแค่รูปแบบกระเป๋าเงินเท่านั้น

#CryptoSuperapp คืออะไร?

ในรายงานนี้ Crypto Superapp ไม่ใช่แอปยักษ์ใหญ่ที่ทำทุกอย่างเองแบบเบ็ดเสร็จ แต่เป็นแอปที่เลือกเอาโปรโตคอล (ระบบโปรแกรมเปิด) ที่ดีที่สุดในตลาดมารวมไว้ในที่เดียว

หน้าที่หลักคือ บีบอัดชีวิตการเงินและกิจกรรมบนบล็อกเชน (Onchain life - การทำธุรกรรมบนเครือข่ายบล็อกเชน) ของผู้ใช้ให้มาอยู่ในหน้าจอเดียว โดยมีองค์ประกอบหลักๆ ดังนี้:

- ตัวตนเดียว (One identity): ผ่านกระเป๋าเงินหรือบัญชี

- ยอดเงินคงเหลือเดียว (One balance): สำหรับเหรียญหลัก สเตเบิลคอยน์ (เหรียญมูลค่าคงที่) และสินทรัพย์อื่นๆ

- ฟีดข้อมูลเดียว (One feed): หน้าจอเดียวสำหรับทำธุรกรรมบนเชน

ทำไมการรวมทุกอย่างไว้ในที่เดียวถึงตอบโจทย์?

การรวมศูนย์ (Aggregation) คือโมเดลธุรกิจที่ทำเงินมากที่สุดในอินเทอร์เน็ต เพราะบริษัทพวกนี้ไม่ได้เป็นเจ้าของสินค้า แต่ชนะเพราะควบคุมการค้นหา (Discovery) การทำงาน และการกระจายผลิตภัณฑ์ เราจะเห็นแบบนี้ซ้ำๆ เช่น:

- ผู้รวบรวมข้อมูลอินเทอร์เน็ต: Amazon / Shopee / Lazada (รวมตลาดช้อปปิ้ง) Meta / X (Twitter) (รวมโซเชียลและเนื้อหา)

- Superapps บนมือถือ: ระบบมินิโปรแกรมของ WeChat หรือ Grab ที่ขยายจากเรียกรถไปเป็นแพลตฟอร์มหลายอย่าง

- Fintech (เทคโนโลยีการเงิน): Nubank Revolut Cash App หรือ แอปธนาคารสีต่างๆ - รวมบริการเพื่อสู้กับธนาคารเก่าๆ โดยทำให้ชีวิตง่ายขึ้น

ไม่ว่าจะอุตสาหกรรมไหน ผลก็เหมือนกัน: คนยอมจ่ายแพงเพื่อความสะดวก เช่น ใช้แอปน้อยลง ล็อกอินน้อยลง และข้อมูลไหลลื่น ดูจากกระเป๋าเงินและแพลตฟอร์มเทรดที่ทำเงินล้านๆ จากค่าธรรมเนียม ก็พิสูจน์ว่าคนเล่นคริปโตก็ยอมจ่ายเพื่อความสบายเหมือนกัน

***

รวมระบบ (Integrate) เทียบกับซื้อกิจการ (Acquire)

ใน Fintech การรวมศูนย์สำเร็จแต่ติดข้อจำกัดเรื่องต้นทุน เพราะโครงสร้างเก่า การเพิ่มธุรกิจใหม่ต้องเลือกทางช้าและแพง: สร้างเอง (ใช้เวลาหลายปีขอใบอนุญาตและวิจัย) ซื้อบริษัท (อย่าง Block ซื้อ Afterpay) หรือขอใบอนุญาต

แต่คริปโตเปลี่ยนเกมเลย: Superapp ในคริปโตเพิ่มฟังก์ชันได้แค่รวมโปรโตคอลเข้าไป ไม่ต้องซื้อบริษัท ข้อดีที่เหนือกว่า Fintech คือ:

- สภาพคล่องทั่วโลก เปิด 24/7: ไม่มีเวลาปิดตลาดหรือรอชำระเงิน T+1/T+2 การแปลงสินทรัพย์เป็นโทเค็น (Tokenization) ทำให้ตลาดเปิดตลอด พอคนลองแล้ว จะไม่ย้อนกลับไปแบบเก่า

- ความสามารถในการประกอบ (Composability): โปรโตคอลใช้ระบบเบื้องหลังร่วมกัน ผู้ใช้เชื่อมธุรกรรมได้ง่าย เช่น กู้เงินโดยค้ำประกันด้วยพันธบัตรสหรัฐฯ ที่แปลงเป็นโทเค็น แล้วเอา USDC ไปเทรดอนุพันธ์ (Perps - การเทรดแบบใช้เลเวอเรจ)

- การกระจายผ่าน Mini-app: Crypto Superapps สามารถเป็นช่องทางแจกจ่าย โดยให้นักพัฒนาภายนอกสร้างมินิแอปในระบบ เหมือน WeChat แต่เอาไปใช้กับการเงิน สำหรับแอปเล็กๆ การฝังตัวใน Superapp จึงเป็นทางฉลาด

#ทำไมถึงตอนนี้?

Crypto Superapp เกิดขึ้นได้เพราะ 3 ปัจจัยหลัก:

1. เทคโนโลยีที่พร้อมแล้ว (Tech Maturity): บัญชีอัจฉริยะ (Smart accounts) การเชื่อมต่อปลอดภัย และค่าพื้นที่บล็อก (Blockspace) ถูกจาก L1/L2 (เลเยอร์เครือข่าย) แก้ปัญหาประสบการณ์ผู้ใช้ (UX) และต้นทุนเก่าๆ

2. กฎระเบียบชัดเจนขึ้น (Regulatory Clarity): จากการบังคับใช้กฎ เปลี่ยนเป็นกรอบชัดเจน (อย่าง FIT21 MiCA AGDM) ลดความเสี่ยง ดึงเงินสถาบันเข้ามา

3. ประโยชน์ใช้สอยขยาย (Expanded Utility): ระบบไม่ใช่แค่เก็งกำไร แต่มีบริการครบ เช่น สินทรัพย์โลกจริง (RWAs) ผลตอบแทน (Yields) สินเชื่อผู้บริโภค ตลาดทำนายผล (Prediction markets)

ข้อดีที่สุดคือ ไม่มีทีมไหนต้องสร้างทุกอย่างเอง บริการพวกนี้มีพร้อมแล้ว งานตอนนี้คือรวมมันเข้าด้วยกันให้ไหลลื่น

***

#การพัฒนาที่คาดในปี2026

การอัปเดตส่วนย่อยจะเกิดต่อเนื่อง สิ่งที่น่าจับตาในปี 2026:

- การแพร่ของ Prop AMMs (Automated Market Makers ที่จัดการสภาพคล่องเชิงรุก) เช่น HumidFi, Tessera V

- โครงสร้างพื้นฐานสภาพคล่อง เช่น 1inch Aqua

- การกู้ยืมแบบ Orderbook (ระบบสั่งซื้อ) เช่น Avon

- การกู้ยืมหลักทรัพย์ต่ำและสินเชื่อผู้บริโภค เช่น 3Jane

- Stablecoin ที่ไม่ผูก USD เพิ่มปริมาณเทรดอัตราแลกเปลี่ยน (FX volumes) บนเชน

- บัตรคริปโตแบบไม่ฝากเงิน (Non-custodial) ที่ฝังผลตอบแทน DeFi สำหรับเงินนิ่งๆ

- กลไกประมูล Launchpad (แพลตฟอร์มเปิดตัวระดมทุน) ที่ยุติธรรมขึ้น เช่น Uniswap’s Continuous Clearing Auction

***

#วิวัฒนาการของประสบการณ์ผู้ใช้ (UX) ทำให้คนทั่วไปเข้าถึงคริปโตได้ง่ายขึ้น:

หลักการออกแบบที่เน้นความเข้าใจง่ายและการเรียนรู้ไปทีละขั้น ได้กลายเป็นมาตรฐานใหม่ของวงการ โดยเน้นแนวคิด “เรียนรู้ไปพร้อมกับการใช้งาน” (Learn-as-you-go) มีคู่มือสอนทีละขั้นตอน พร้อมภาพประกอบช่วยให้จำง่าย และค่อยๆ เพิ่มเนื้อหาที่ซับซ้อนขึ้นเมื่อผู้ใช้พร้อม ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือขั้นตอนการติดตั้งของ MetaMask ที่มีระบบช่วยนำทางผู้ใช้อย่างละเอียด

1. ความปลอดภัยที่มองเห็นและเข้าใจได้

ระบบความปลอดภัยสมัยใหม่สื่อสารความเสี่ยงให้ผู้ใช้เห็นภาพชัดเจน (Visual security cues) ผ่านฟีเจอร์ต่างๆ:

* ไฟสถานะความปลอดภัย: บอกระดับความปลอดภัยชัดเจน

* แจ้งเตือนแบบเรียลไทม์: บอกทันทีว่าธุรกรรมปลอดภัยไหม

* สัญญาณเตือนภัย: แจ้งเตือนเมื่อเจอที่อยู่กระเป๋า (Address) ที่น่าสงสัย

* การจำลองธุรกรรม (Transaction Simulation): โชว์ให้เห็นก่อนเลยว่า ถ้ายืนยันแล้ว ยอดเงินในกระเป๋าจะเปลี่ยนไปอย่างไร (ป้องกันการโดนหลอกดูดเงิน)

* การแปลรหัสสัญญา (Contract ABI decoding): แปลงโค้ดคอมพิวเตอร์ยากๆ ให้เป็นภาษาคน เพื่อให้ผู้ใช้รู้แน่ชัดว่ากำลังเซ็นอนุมัติอะไรอยู่

2. จุดเปลี่ยนสำคัญ: Apple Pay และ Digital ID

การเชื่อมต่อ Apple Pay เข้ากับแอป Base ถือเป็นจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ที่ลดความยุ่งยากในการเริ่มต้นใช้งาน (Onboarding friction)

* ผู้ใช้สามารถเติมเงินเข้ากระเป๋าได้เลยโดยไม่ต้องผ่านขั้นตอนตั้งค่ากระเป๋าคริปโตที่วุ่นวายแบบเดิม

* แตะครั้งเดียวก็ซื้อเหรียญ Stablecoin (USDC), เทรด, หรือจ่ายเงินได้ทันที

* ตัวตนดิจิทัลที่พกพาได้ (Portable Identity): สร้าง ID เดียวบนบล็อกเชนที่ใช้ล็อกอินได้ทุกบริการ (คล้ายกับการล็อกอินผ่าน Facebook หรือ Google แต่เป็นแบบกระจายศูนย์) ข้อมูลและรายชื่อติดต่อจะติดตัวเราไปทุกที่ ไม่ต้องล็อกอินซ้ำซ้อนหลายรอบ ซึ่งในอนาคตอาจพัฒนาไปสู่การใช้ร่วมกับเอกสารราชการได้

3. เปลี่ยนการใช้งานให้เป็นเรื่องสนุก (Gamification)

กลไกแบบเกมช่วยดึงดูดให้ผู้ใช้งานอยู่กับแอพได้นานกว่าแพลตฟอร์มคริปโตทั่วไปถึง 5 เท่า

* Coinbase Earn: ผู้บุกเบิกโมเดล “เรียนแล้วได้เงิน” (Learn-to-earn) โดยให้รางวัลเป็นเหรียญคริปโตจริงๆ เมื่อเรียนจบบทเรียนสั้นๆ บนมือถือ

* Binance Academy: พัฒนาต่อยอดด้วยแบบทดสอบที่สนุกขึ้น มีการคลิก ลากวางคำตอบ และระบบสะสมรางวัล

* ระบบรางวัล: ปัจจุบันมีการแบ่งระดับชั้น (เช่น ทองแดง, เงิน, ทอง), การแจกเหรียญของแพลตฟอร์ม, โปรแกรมคืนเงิน (Cashback) เช่น Base Pay คืน 1% เป็น USDC, ดอกเบี้ยจากการฝากเหรียญ (Staking), และโบนัสจากการแนะนำเพื่อน

***

#กรณีศึกษา: Coinbase - Everything Exchange (ศูนย์เทรดทุกอย่าง)

จดหมายถึงผู้ถือหุ้นไตรมาส 3 ของ Coinbase บอกชัดเลยว่าต้องการเป็นศูนย์เทรดทุกอย่าง พวกเขากำลังก้าวหน้า โดยเพิ่มสินทรัพย์เทรด (ครอบคลุม 90% มูลค่าตลาดคริปโต) ขยายอนุพันธ์ การชำระเงิน (USDC) Launchpad (Echo) และผลิตภัณฑ์ใหม่ผ่าน #Base นี่คือสัญญาณว่าตลาดกำลังรวมศูนย์ที่เลเยอร์แอป

Coinbase เล่น 2 ด้าน: ด้านหนึ่งเป็นพันธมิตรสถาบันที่ Wall Street วางใจ อีกด้านผลักดันเศรษฐกิจบนเชนผ่าน $Base และสร้างโซเชียลเฉพาะคริปโต

กระจายรายได้เพื่อลดความเสี่ยง

Coinbase อยากเปลี่ยนจากพึ่งรายได้ธุรกรรมที่ผันผวน ไปเป็นแพลตฟอร์มที่ทำเงินตอนผู้ใช้เทรด ถือ สเตก ใช้จ่าย และสร้าง

1. กระจายรายได้: ปี 2020 รายได้ธุรกรรม 96% แต่ปลาย 2025 คาดเหลือ 60% ส่วนรายได้สมัครสมาชิกและบริการขึ้นเป็น 40%

2. USDC: สำคัญสุด รายได้จาก Stablecoin (จากผลตอบแทนสำรอง USDC) ไตรมาส 3 ปี 2025 พุ่ง 354.7 ล้าน (+44% YoY) ยอด Stablecoin มักคงที่ในตลาดหมี ถ้า USDC กลายเป็นสกุลหลักใน Coinbase Base และช่องทางชำระ จะสร้างฐานรายได้มั่นคงไม่ต้องรอตลาดบูม

3. Coinbase One: แผนสมัครสมาชิก (รายเดือนหลายระดับ) ลดค่าธรรมเนียมและให้รางวัลพิเศษ สร้าง “ต้นทุนจม” (sunk-cost effect) ให้ผู้ใช้รวมกิจกรรมไว้ที่นี่ เพื่อคุ้มค่าที่สุด และทำให้คู่แข่งขาดปริมาณเทรด

4. ตลาดอนุพันธ์ (Future & Option Trading): ขยายไป Coinbase International Exchange และซื้อ Deribit ในตลาดโลก Spot เป็นส่วนเล็ก อนุพันธ์ถึง 80% Deribit นำสภาพคล่องลึกและตลาดออปชันสถาบัน

สร้าง Superapp: Base L2 (OS) + The Base App (Interface)

Coinbase รู้ว่ามีทุกฟีเจอร์ไม่สำคัญเท่าการเป็นแอปที่คนใช้ทุกวัน

- The Base App: ออกแบบเป็นพื้นผิวประจำวัน เน้นฟีดโซเชียลมากกว่าเครื่องมือเงิน และง่ายขึ้นด้วย Passkeys (กู้คืนด้วยไบโอเมตริกซ์แทนวลีเมล็ด) Sponsored transactions (จ่ายค่าแก๊สแทนผู้ใช้) Magic Spend (ทำธุรกรรมบนเชนด้วยยอดเงินใน Exchange) เป้าหมายคือดึงคนจาก Exchange centralized เข้าสู่ Base

- Base L2: ถ้า Base App คือหน้าจอ Base L2 คือระบบปฏิบัติการ สร้าง Rollup ที่เข้ากับ Ethereum แทนเชนปิด ทำให้ได้ประโยชน์จากนักพัฒนาและชุมชน แต่ยังเก็บผลกำไรจากเป็นเจ้าของช่องทางกระจาย

การซื้อกิจการเชิงกลยุทธ์:

- Deribit (พ.ค. 2025 $2.9B): นำสภาพคล่องอนุพันธ์

- Echo (ต.ค. 2025 $375M): นำการระดมทุนและออกสินทรัพย์

Coinbase เดิมพันว่าผู้ชนะคือคนที่ผสมกระจายศูนย์กับรวมศูนย์แบบไร้รอยต่อ ถ้าสำเร็จ จะอัปเกรดจาก Exchange เป็นโครงสร้างพื้นฐานการเงิน

#EarthDeFIRE รายงาน 16/12/2025